ดูหนัง Blood Red Sky 2021

ดูหนัง Blood Red Sky 2021

ดูหนัง Blood Red Sky 2021

ดูหนัง Blood Red Sky 2021 แน่ๆว่า Blood Red Sky ได้ใช้สูตรสำเร็จของหนังแนวนี้แบบเดิมๆแต่ถึงแม้ว่าจะไม่แปลกใหม่ หนังก็ทำออกมาได้สนุกอยู่ในระดับหนึ่ง โดยยิ่งไปกว่านั้นตอน 30 นาทีสุดท้ายของหัวข้อนี้ ถือได้ว่าความเข้นข้นที่ค่อยๆขยายอารมณ์ผู้ชมได้ถึงแก่น ถึงแม้ว่าความคลีเซ่จะลอยฟุ้งกระจายอยู่เต็มไปหมด และก็ขาดความสมเหตุสมผลในเนื้อเรื่องอยู่บ้าง แต่ข้อสรุปของหนังประเด็นนี้นั้นจำต้องนับว่าทำออกมาเจริญโดยสรุปแล้ว ฟ้าสีเลือด ก็ไม่ใช่แค่หนังผีแวมไพร์บนเครื่องบินธรรมดาๆทั่วๆไป หนังยังมีแก่นเรื่องที่ถูกใส่เอาไว้มากยิ่งกว่านั้น ตามเวลาของหนังที่ยาวนานถึง 2 ชั่วโมงเศษๆข้อดีในสูตรสำเร็จของหนังก็คือทำให้คนดูได้แจ่มกระจ่างในหลายๆเงื่อน Blood Red Sky 2021 หนังพาย้อนไปสำรวจผู้แสดงในเชิงลึกได้ค่อนข้างดีและไม่ปล่อยให้ผู้ชมรู้สึกคาใจ ถือว่าเก็บเนื้อหาในด้านเนื้อหาได้ค่อนข้างครบบริบรูณ์ Blood Red Sky ก็เลยจัดได้ว่าเป็นหนังที่สนุกกว่าคิดเอาไว้เล็กน้อย เพราะเหตุว่าไม่คาดคิดว่าโปรดักชั่นหนังของฝั่งเยอรมันจะทำออกมามีกลเม็ดเด็ดพรายได้ในระดับที่น่าพึงพอใจเช่นนี้ นี่จึงเป็นจุดการพัฒนาเล็กๆของแวดวงฝั่งยุโรป สเกลของหนังก็แทบจะเท่ากันกับหนังฝั่งฮอลลิวูดแล้ว เพียงแค่ยังมีช่องโหว่และความซ้ำจากจำเจปะปนอยู่น้อย แต่ว่าโดยรวมแล้ว…หนังหัวข้อนี้ก็สนุกดี ถือเป็นการต่อยอดได้ดีทีเดียว ที่ญี่ปุ่นปลุกปั้นแอนิเมชั่น 3D จากอานิเมะ สุดคลาสสิคอย่างโดราเอม่อน เมื่อปี 2014 ก็ได้มี Stan By Me Doraemon เข้าฉาย เป็นการแตกไลน์เรื่องราวของโดราเอม่อน ที่มีเรื่องมีราวราวเอาจริงเอาจังของตัวเอง โดยการจับเอาตอนจบ (แบบนึงในเวอร์ชันดั้งเดิม) มาขึ้นหน้าจอยักษ์ในแบบอย่าง แอนิเมชั่น 3D ร่วมสมัย ด้วยตัวบทเอยอะไรเอย ทำให้คนดูคนจำนวนไม่น้อยเทใจให้ และยกให้เป็นหนึ่งใน The Movie ในขณะที่ดีเยี่ยมที่สุดของโดราเมก่อนเลยก็ว่าได้ เวลาผ่านไป 6-7 ปี (แต่เดิมจำเป็นต้องฉายเมื่อปีก่อน แม้กระนั้นเพราะว่าพิษวัววิด-19 เลยเลื่อนมาฉายปีนี้แทน) Stan By Me Doraemon 2 ในภาคนี้เกิดเรื่องราวเกี่ยวกับการที่โนบิตะ(อีกแล้ว) อยากกลับไปมองเห็นย่าซักครั้ง จนได้ขอโดราเอม่อนให้ช่วยพาย้อนเวลากลับไปซักหน่อย จนแล้วจนรอดพบกับคำขอของย่าว่าอยากมองเห็นเจ้าสาวของโนบิตะจัง ทางโนบิตะก็ได้ให้โดราเอม่อนเอาทีวียุคสมัย ออกมาส่องดูอนาคตของตน แล้วพบว่าในวันสมรสของโนบิตะกับชิซูกะนั้น โนบิตะตอนโตได้หายไปไม่ยอมไปงานแต่งงาน ทำให้โนบิตะวัยเด็กรวมทั้งโดราเอม่อนนั้นจำต้องไปตามหาและพาตัวกลับไปในงานแต่งงานอีกรอบ เรื่องราววุ่นวาย ที่เกือบจะทำให้ตัวเองปางตาย(อีกแล้ว) จะว่าไปโทนหัวข้อนั้นส่วนตัวว่าในภาคนี้ ออกจะที่จะรำคานความโก๊ะกังของโนบิตะเป็นอย่างยิ่ง คือแบบว่าก่อปัญหาเล็กๆให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ตั้งแต่เด็กจนถึงโต ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เป็นหนังภาคที่ส่วนตัวค่อนข้างจะไม่ค่อยโอเคกับนิสัยถูกใจแกว่งเท้าหาเสี้ยนใส่ตัวของโนบิตะจริงๆแต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องโดยรวมมันเพลินๆดุแล้วอมยิ้มไป รวมไปถึงการมาของคุณย่า ที่ออกมากี่ฉากก็ทำเอาคนดูน้ำตาซึมกันอย่างยิ่งจริงๆ อีกหนึ่งหนังสยองขวัญที่ต้องการเสนอแนะให้ทุกคนได้ดูใน Blood Red Sky (2021) ฟ้าสีเลือด กับเรื่องราวของแม่ที่จำต้องแปลงร่างเป็นแวมไพร์เพื่อป้องกันจากผู้ก่อให้เกิดเหตุร้าย หนังสยองขวัญสุดระทึก ที่สนุก แล้วก็ซึ้งในขณะเดียวกัน เนื่องจากขึ้นชื่อว่าแม่ทุกคนย่อมทำเป็นทั้งหมดทุกอย่างเพื่อลูกได้ ดูหนัง Blood Red Sky 2021 เนื้อเรื่องมีฉากแอคชั่นสุดระทึกที่คนชอบดูหนังแอคชั่นจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนเรื่องย่อ : Blood Red Sky (2021) ฟ้าสีเลือด เมื่อผู้ก่อเหตุร้ายยึดเรือบินขึ้นรถ และก็มีแผนการที่จะฆ่าทุกคนบนเรือบิน ทางเดียวที่เธอจะช่วยลูกชายให้รอดชีวิตได้ก็คือ เธอต้องแปลงเป็นแวมไพร์กระหายเลือดเนื่องด้วยแม่ที่ป่วยด้วยโรคประหลาดลึกลับเกี่ยวกับเลือด แล้วก็จะต้องเดินทางขึ้นเครื่องจากเบอร์ลินไปยังนิวยอร์กเพื่อหาทางรักษา คุณพาลูกชายไปด้วย แต่ว่ารวมทั้งเกิดเหตุการณ์ยึดเรือบินของผู้ก่อเหตุร้ายแรงจอมโหดที่ไม่ลังเลจะฆ่าผู้โดยสาร คุณก็เลยต้องเผยตัวตนจริงให้รู้ดีว่าคุณเป็นแวมไพร์ตายยาก รวมทั้งใช้ความเหนือมนุษย์นี้ปกป้องรักษาลูก แน่ๆว่าพวกผู้ก่อการร้ายก็ไม่ยินยอมยอมตามให้คุณกล้วยๆความระทึกขวัญและก็ชั่วร้ายสยดสยองจึงเกิดขึ้น

คือผลงานการดูแลและเขียนบทของ Lee Isaac Chung

เป็นลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกัน ที่นำเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กของตนเองเป็นแรงจูงใจมาทำเป็นหนัง โดยตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวชาวประเทศเกาหลีที่ได้ตกลงใจจากถิ่นฐานบ้านช่องมาอเมริกาหวังจะลงหลักปักฐาน แม้กระนั้นด้วยความฝันก็ต้องย้ายจากเมืองนึงไปอีกเมือง เริ่มนับ 0 กันใหม่ กลายเป็นบททดลองชีวิตของครอบครัวนี้ถามว่าหนังสนุกมั้ย ตอบตรงๆว่าไม่หรอก แม้กระนั้นถ้าหากถามว่าได้อะไรจากหนังมั้ย จะต้องตอบเลยว่าจำนวนมากเลย หนังประเด็นนี้มันเปรียบได้กับหนังสารคดีที่พาพวกเราไปสำรวจเรื่องราวชีวิตของครอบครัวประเทศเกาหลีนี้ ผ่านนานัปการแง่มุมนานาประการผู้แสดงในครอบครัวอีกทั้ง พ่อ แม่ ลูกชาย บุตรสาว คุณยาย เราจะได้มองเห็นอีกทั้งแง่คิด มุมมองในการใช้ชีวิตของแต่ละคน ที่ทั้งยังทำให้เราได้แง่คิดสำหรับเพื่อการใช้ชีวิตต่างๆล้นหลามหนังไม่ได้ดูยากเลย เข้าใจง่าย อีกต่างหาก มันเพียงแค่เรื่อยๆเนิบๆเบาๆเล่าราวต่างๆไปทีละน้อยๆ แฝงข้อคิดระหว่างทางที่แยบคายไม่ใช่เล่น ซึ่งเอาเข้าจริงๆมันก็ยังมีหลายจุดที่ยังคลุมเครือไม่แน่ชัดแล้วก็เราก็ยังคงอยากคำตอบถึงหลายๆสิ่งอยู่ ก็ตามทางด้านผู้แสดงต้องบอกเลยว่าแสดงดีทุกคนไม่มีที่ติเลย ไม่สนเท่ห์ใจเลยว่าเพราะอะไร Steven Yeun และก็ Yuh-Jung Youn ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สรุปแล้ว Minari ไม่ใช่หนังที่บันเทิงใจ แต่ถือได้ว่าหนังที่ให้ข้อคิดดีๆกับพวกเราเรื่องนึงเลย อย่างไรก็ดีส่วนตัวก็ยังมองว่ามันไม่กลมกล่อมละมุนละไมอยู่ดี หลายๆซีนยังไม่สามารถที่จะส่งอารมณ์มาถึงเราได้ขนาดนั้น เป็นรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นนะ แต่ยังพาพวกเราไปสัมผัสหรืออินตามได้ไม่มากพอ มันไม่ใช่หนังที่จะบอกให้คุณลุกขึ้นมาเจอหน้าเห็นด้วยชะตาชีวิตต่างๆแม้กระนั้นมันคือหนังที่บอกให้คุณดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย ปรับพฤติกรรม ยอมรับความเคลื่อนไหวในทุกอย่างที่จะเข้ามาในชีวิต เหมือนดั่งที่ในหนังบอกเอาไว้ถึงต้น มิทุ่งนาริ ว่ามันคือวัชพืชที่ที่ปลูกได้ทุกๆที่ มันก็สามารถเติบโตแล้วก็งอกงามได้อย่างเร็ว ไม่ว่าจะโดนลม ฝน แดดมากสักเท่าไหร่ มันก็ยังคงเจริญงอกงามอยู่ตลอด…นี่แหละคือสิ่งที่หนังหัวข้อนี้ต้องการจะบอก

หนังแนวแวมไพร์ที่ห่างหายไปนานหลังกระแสหนังซอมบี้เป็นเทรนด์ได้รับความนิยมกว่า

ซึ่งประเด็นนี้แม้จะออกสตาร์ทว่าเป็นแวมไพร์ แต่ว่าก็มีส่วนผสมของซอมบี้เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเห็นได้ชัด โดยใช้สถานการณ์ในที่จำกัดบนเครื่องบินมาบีบคั้นให้เรื่องน่าระทึกใจเข้าไปอีก ดูหนัง Blood Red Sky 2021 แบบเดียวกับหนังงูบนเรือบินอย่าง Snakes on a Plane ซึ่งเค้าเรื่องที่ว่าด้วยพวกเหล่าโจรจี้เรือบิน แต่ว่าจำเป็นต้องมาพบกับผู้โดยสารที่เป็นแวมไพร์ ก็เป็นอะไรที่มองน่าดึงดูดมากมาย แต่ว่าปัญหาก็คือการเล่าเรื่องในที่จำกัดแบบงี้จะสามารถสร้างฉากระทึกได้มากขนาดไหน แถมนี่ยังเป็นหนัง Original Netflix แท้ๆจากผู้สร้างชาวเยอรมันอีกด้วย ซึ่งก่อนมองก็แอบห่วงอยู่ว่าจะไม่ไหวตามสไตล์หนังเน็ตฟลิกซ์ที่ไอเดียอาจจะดี แม้กระนั้นทุนต่ำกระทั่งทำอะไรมากไม่ได้ แม้กระนั้นข้างหลังได้รับดูจำเป็นต้องบอกเลยว่ากลับทำเป็นมากกว่าที่คิดไว้ซะอีกครับผม นับว่าเป็นภาพยนตร์ไทยที่น่าดึงดูดตั้งแต่แบบอย่างแล้วก็โครงเรื่อง ที่บอกเล่าเรื่องราวของบุคลากรที่ทำงานที่สงสัยว่าบอสของพวกเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง! แถมหนังยังมีเหล่าผู้แสดงที่น่าสนใจเยอะแยะทั้งยัง ไอซ์-ปรีชญา, ไข่มุก-นรินทร์รักษ์, เผือก-พงศธร, โอ๊ต-ปราโมทย์, ผักกาด-เพียงพอสวย, ก้อง-สหรัถแล้วก็ นอท-สัณหณัฐ (บ้านข้าเอง) ตัวอย่างก็มีมุกบ้างเล็กน้อย เอาง่ายๆเป็นน่าดึงดูดทุกจุด นึกภาพไว้ว่ามันต้องเป็นแนวแบบหนังไล่เชือด (Slasher) ผสมความเป็นหนังตลก (Comedy) อะไรแบบงั้น…แม้กระนั้นนั่นแหละอย่างที่บอกไป มันไม่สุดสักทาง ตัวหนังทะยานอยากจะเป็นหลายชนิดเกินความจำเป็นจนกระทั่งเอาไม่อยู่เอากันที่จุดแรกเป็นนักแสดง จำต้องบอกเลยว่านักแสดงแต่ละคนนับว่าแสดงเจริญในอย่างที่ควรจะเป็น แต่ว่าโชคร้ายบางผู้แสดงที่หนังไม่อาจจะดึงสมรรถนะออกมาให้ผู้ชมได้มองเห็นสักเท่าไหร่ รวมทั้งบางนักแสดงจากต้นกระทั่งสิ้นเรื่องก็ยังสงสัยว่า “มันมีความสำคัญจริงๆหรอ?”ต่อกันที่ความตลก หนังมีการหยอดมุกรายทางกระจาย ที่เอาจริงๆมิได้ฮาอะไรสักเท่าไหร่ ทำได้เพียงยิ้มมุมปากกับบางมุก ซึ่งส่วนมากออกไปทางแปกเสียด้วยซ้ำ กระทั่งจำต้องสะกิดตัวเอง อ๋อ…ฉากนี้เล่นมุกสินะพาร์ทของความระทึกยิ่งสอบตกเข้าไปใหญ่ จากแบบอย่างมีศพนู้นนี่โน่น ทำให้หาเรื่องคิดไปอีกว่ามันต้องมีฉากไล่ฆ่า ฉากตื่นเต้น ลุ้นบ้างอะไรอย่างนั้น แต่ว่าเอาเข้าจริงๆหนังกลับทำเป็นไม่ถึง มีนะ แต่น้อย แถมยังไม่ตื่นเต้นเลยแม้กระทั้งนิดนึง ไม่อาจจะทำให้คนดูลุ้นตามเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเรื่องได้เลยแม้แต่น้อยถึงแม้หลายๆฉากคงจะขยี้ให้ตื่นเต้นได้ก็ตาม อารมณ์แบบอ้ามาแล้วอะ…แล้วเดินจากไปซะแบบนั้นเรื่องราวยิ่งไปกันใหญ่ เต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล ของทุกนักแสดง ยิ่งช่วงท้ายนี่กระจ่างเลย การตัดสินใจพฤติกรรมต่างๆของนักแสดงมันดู “อิหยังวะ” เรื่องเฉลยปมคนร้ายก็ดูแบบยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้คนดูเชื่อ ในซีนนั้นคนร้ายแสดงได้ถือว่าดีนะ แต่ว่าบทที่กล่าวมองตลก ไม่ธรรมชาติเลยอะ และการคลี่คลายเรื่องราวก่อนไปซีนในที่สุดก็ทำเป็นแบบจับยัดมากมาย คือทั้งเรื่องไม่มีการปูเรื่องราวเหล่านี้ให้ผู้ชมได้คิดตาม พอถึงจุดนึงก็ดันตัดสินใจยัดๆเรื่องราวทุกอย่างเฉลยในซีนเดียวแต่ว่าแม้กระนั้นสิ่งที่อดชมไม่ได้เลยจริงๆคืองานวางแบบ การใช้แสงสว่าง สี เสียงหรือมุมกล้องในการถ่ายทำถือว่างามจริงๆผ่านขั้นตอนคิดมาอย่างยอดเยี่ยม บางซีนนี่ต้องพูดว่าเท่มากสรุปแล้ว บอสฉันขยันเฉือน เปลี่ยนเป็นภาพยนตร์ไทยที่น่าเสียดาย มันมีส่วนประกอบทุกสิ่งมันดีหมดแล้วอะ ไอเดียตั้งต้นเอ่ย นักแสดงเอ่ย ครบที่ควรจะเป็นหนังที่เพลิดเพลินได้มากกว่านี้ถ้าเอาแต่ละทางให้สุดกว่านี้ ในขณะนี้มันเหมือนแบบสัมผัสโน่นนิดแตะต้องนี่หน่อย อะโน่นอีกหน่อยละกัน นี่อีกนิดน่า มันจึงกลายเป็นน่าเสียดายแบบสุดๆไปเลย

ถึงหนังหัวข้อนี้จะเปิดตัวแบบขัดเจนว่าเป็นแนวสยองขวัญเหนือธรรมชาติตั้งแต่คราวเซอร์แรก

แม้กระนั้นบทของโจรจี้เรือบินก็มิได้ทำออกมาแบบชุ่ยให้พอผ่านๆเพื่อไปเล่นเรื่องแวมไพร์อย่างที่รู้เรื่องกัน ยิ่งปัจจุบันสายการบินทั้งโลกออกกฎปิดโอกาสการจราจลบนเรือบินไว้รัดกุมมากมาย กระทั่งทำให้เพียงแค่คิดบทว่าจะจี้เรือบินอย่างไรให้สมจริงก็ยากแล้ว แต่ว่าบทของโจรในเรื่องนี้ก็ยังหาช่องทางจักจี้เรือบินให้เหมือนจริงน่าไว้วางใจได้ เริ่มตั้งแต่อาวุธที่หลุดรอดการตรวจขึ้นเครื่องบินได้คืออะไร ปืนเอามาจากไหน (ในเรื่องมีปืนสองกระบอก) สิ่งจูงใจคืออะไร การหนีเอาตัวรอดจากเรือบินจะทำยังไง ซึ่งถ้าตัดแวมไพร์ออกไปนี่ก็เป็นหนังอาชญากรรมจี๋เครื่องบินที่เขียนบทมาดีเลย ดูหนัง Blood Red Sky 2021 ทุกสิ่งเป็นไปได้ แล้วก็ยังมีจุดที่กึ่งๆปลายเปิดให้ผู้ชมคิดกันเองเพราะแรงกระตุ้นที่จริงจริงของพวกนี้เป็นยังไง ซึ่งมองสมเหตุผลกว่าการจี้เครื่องบินเพื่อเรียกค่าไถ่หรือจี้เพื่อก่อวินาศกรรมเพียงอย่างเดียว แถมหนังก็ยังสร้างให้ขโมยเหล่านี้โหดเหี้ยมแบบไม่มีปราณี มีฉากต่อรองฆ่าตัวประกันแบบโหดๆแบบไม่มียั้งมือเลย แบบนับ 1-3 ยิงทิ้งทันที ทำให้เรื่องดูชั่วร้ายเหมือนจริงมากขึ้นไปอีก และมีที่พิเศษนิดๆคือดาราที่มาเล่นเป็นหัวหน้าขโมยกลุ่มนี้คือ Dominic Purcell จากบท Lincoln Burrows พี่ชายของสกอฟิลด์ตัวนำในซีรีส์ดัง Prison Break นั่นเอง ซึ่งลุคกับอะไรหลายๆก็พอเหมาะพอเจาะมาก เชื้อเชิญให้นึกถึงบทเดิมที่แจ้งกำเนิดเขา แต่โชคร้ายที่บทในเรื่องนี้เขาไม่ได้เป็นตัวร้ายหลักของเรื่องเท่านั้น บทส่งท้ายจักรวาลมอนสเตอร์ นับจากปี 2014 ที่ได้มีภาพยนตร์เรื่อง Godzilla ที่เป็นหนังเปิดจักรวาลมอนสเตอร์ให้กับทาง Legendary และ Warner Bros. ซึ่งเป็นเจ้าของบทวิจาร์ณ์ที่สามารถพูดได้ว่า แตกเป็น 2 ส่วน คือถูกใจนักวิจารณ์ แม้กระนั้นผิดใจคนดูคนชอบดูหนังแอคชั่น บางทีอาจเนื่องจากว่าด้วยที่ฉากน้องก็อดสิลล่า ออกมาน้อยกว่าคู่แข่งขันอย่าง มูโตซะอีก ทำให้ จนทำให้ภาคข้างหลังๆได้มีการปรับบทบาทให้เจ้าของชื่อเรื่องได้เครื่องปรับอากาศไทม์ในหนังมากขึ้นเอาใจผู้ชมใน Godzilla: King of the Monster 2019 ซึ่งเพียงพอมาภาคนี้ไม่วายโดนคนบ่นอีกว่า หนังมืดมาก สู้กันแต่ค่ำคืน รวมไปถึงพาร์ทดราม่าของผู้คนในเรื่องเชื้อเชิญให้ลำไยมากมาย พร้อมกับความยาวหนังที่ยาวเกิน 2 ชั่วโมง หลายเสียงบอกออกจะยืดมากมาย ทำให้ ผู้กำกับการ Godzilla vs Kong จำต้องทำการบ้านอย่างมาก จนแล้วจนรอดปี 2020 บริษัทผลิตภาพยนตร์ก็ประกาศเลื่อน (หนีวัววิด19) จาก มี.ค. ไปเป็น พ.ย. แล้วก็ประกาศเลื่อนอีกครั้งมาเป็นปีนี้เดือน เดือนพฤษภาคม รวมทั้งเลื่อนขึ้นมาอีกครั้งเป็น เดือนมีนาคม 2021 จนกระทั่งสุดท้ายก็ได้มองกันซักครั้งตัวหนังในภาคนี้เกิดเรื่องราวภายหลังจากภาคก่อน 3 ปี เมื่อก็อดสิลล่าปรากฏตัวอีกครั้ง แม้กระนั้นครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้กับตัวประหลาดยักษ์ แปลงเป็นว่าก็อดสิลล่าออกอาละวาดทำลายหน่วยงานวิจัยของบริษัท APEX ทำให้มนุษย์นั้นเริ่มใส่ใจว่า หรือแท้จริงและก็อดซิลล่าจะเป็นตัวร้ายกัน? ส่วนอีกฝากนึงที่เกาะกะโหลก คองก็ถูกกักกัน เพื่อป้องกันไม่ได้ คองแล้วก็อดสิลล่าจำเป็นต้องมาปะทะกันแต่แล้ว ก็ได้มีดร.ลิน ซึ่งมีแนวคิด ฮาโลว์ เอิร์ธ เกี่ยวกับโลกเรานั้น จุดศูนย์กลางโลกเป็นแหล่งกำเนิดเหล่ายักษ์ยักษ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นบางทีอาจจะเป็นแหล่งเกิดของเผ่าพันธ์คอง รวมไปถึงพลังงานที่อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้มนุษย์นั้น สามารถเอาชนะก็อดซิลล่าได้ เลยจำเป็นจะต้องต้นขนถ่าย คองไปยังประตูสู่ฮาโลเอิร์ธ ณ ดินแดนแอนตาร์คติการ์ แต่ว่าในระหว่างทางก็อดสิลล่าก็ได้ออกมาปะทะเข้าซะก่อน เนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมไปติดตามดูในโรงหนังกันนะครับ กลับสู่หน้าหลัก https://printcalendartemplates.com/